ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ แผนธุรกิจ โครงการซีเนี่ยร์คอมเพล็กซ์ ไทยเพิ่มสุข
ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ ของแต่ละพื้นที่ในประเทศไทย
เศรษฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น เศรษฐศาสตร์เป็นแขนงหนึ่งของสังคมศาสตร์ ซึ่งว่าด้วยกิจกรรมของมนุษย์ ความขาดแคลนทรัพยากรและปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ(ผลิตอะไร อย่างไร เพื่อใคร) ที่เกิดขึ้นในสังคม ทำให้แต่ละสังคมต้องหาวิธีการแก้ไข เศรษฐศาสตร์จึงเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาหนทางในการจัดสรรทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิต(ที่ดิน ทุน แรงงาน และการประกอบการ) ที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เศรษฐศาสตร์ (Economics) หมายถึง วิชาที่ศึกษาถึงวิธีการจัดสรรทรัพยากรอันมีอยู่จำกัด เพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆในการสนองความต้องการของมนุษย์ซึ่งมีไม่จำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด คริสต์ศตวรรษที่ 18 การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์อย่างเป็นแบบแผนได้เริ่มขึ้น โดยผู้วางรากฐานและได้รับการยกย่องว่าเป็น ”บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์” คือ อาดัม สมิท นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ โดยหนังสือชื่อ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nations) ที่เขาเขียนขึ้นในปี ค.ศ.1776 (พ.ศ.2319) ถือเป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมาจนถึงยุคปัจจุบัน เศรษฐศาสตร์จุลภาค หมายถึง การศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจในระดับหน่วย หรือระดับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหน่วยงานการผลิตแต่ละกลุ่มหน่วยใดหน่วยหนึ่งหรือ เฉพาะบุคคล หรือหน่วยงานการผลิต ซึ่งแต่ละกลุ่มเกี่ยวกับส่วนย่อยๆของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ หน่วยครัวเรือน หน่วยธุรกิจ และ หน่วยรัฐบาล เศรษฐศาสตร์มหภาค หมายถึง การศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของทั้งระบบโดยรวม ได้แก่ รายได้ประชาติ ภาวะเงินเฟ้อ เงินฝืด การออม การลงทุน การจ้างงาน และ การบริโภครวมทั้งการคลัง การค้าระหว่างประเทศและดุลการชำระเงิน การพัฒนาเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์มหภาค มีเนื้อหา ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับรายได้และการจ้างงาน ในอดีต จึงเรียกว่า ทฤษฎีรายได้และการจ้างงาน สรุป เศรษฐศาสตร์จุลภาค เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์มหภาค ที่ศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับประเทศและระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ของเศรษฐศาสตร์กับภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการครองชีพของมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ การผลิต การใช้ และ การกระจายของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การคมนาคมขนส่ง การค้าระหว่างประเทศ และการบริการแก่ประชาชนในดินแดนต่างๆของโลก โดยมีความสัมพันธ์กับเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ศึกษาถึงวิธีการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด เพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆสนองความต้องการของมนุษย์ซึ่งโดยทั่วไปมีความต้องการไม่จำกัดในด้านต่างๆ สรุปได้ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1.1 ลักษณะภูมิประเทศ หมายถึง ลักษณะทางกายภาพของแผ่นดิน ความสูงต่ำของผิวโลก ที่ราบลุ่มแม่น้ำมีความอุดมสมบูรณ์จะเหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐาน การคมนาคมขนส่งสะดวก แต่ไม่ปลอดภัยจากการรุกราน แต่ที่ราบสูง ภูเขา จะ แห้งแล้ง การคมนาคมขนส่งไม่สะดวก ไม่เหมาะกับการตั้งถิ่นฐาน แต่ปลอดภัยจากการรุกราน บริเวณที่ติดทะเลก็จะมีการประกอบอาชีพเกี่ยวกับทะเล เป็นต้น 1.2 ลักษณะภูมิอากาศ หมายถึง ลักษณะอากาศประจำถิ่นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลต่อปัจจัย 4 ของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค รวมทั้งการประกอบกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ในเขตต่างๆ ของโลก เช่น เขตร้อนส่วนใหญ่ปลูกข้าวเจ้า ใส่เสื้อผ้าบาง มีฝนตกชุก ซึ่งมักจะปลูกอาคารบ้านเรือนมีหลังคาชันเพื่อใต้ถุนสูง เพื่อให้น้ำฝนไหลสะดวกและไม่ขังบริเวณใต้ถุนบ้าน สำหรับกิจกรรมของประชากรส่วนใหญ่จะอาศัยลักษณะลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศเข้าช่วย เช่น การทำนาข้าว ส่วนมากจะทำในฤดูฝน ส่วน การทำนาเกลือ การก่อสร้าง การทาสี ก็จะทำกันในฤดูแล้ง และ ลักษณะภูมิอากาศยังมีผลต่อสุขภาพและพลังงานในตัวมนุษย์หลายประการ เช่น ประชาชนในเขตร้อนจะเหนื่อยง่าย หอบเร็ว ทำงานไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ต่างจากประชากรในเขตหนาวหรือ เขตอบอุ่นจะมีความขยัน อดทน กระตือรือร้นมากกว่า เป็นต้น 2. กิจกรรทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆของโลก แบ่งเป็น 2.1 กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง (Subsistence Economic Activities) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจแบบยังชีพ ( Subsistence Economy ) หมายถึง ชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน เช่น การเก็บหาของป่า การล่าสัตว์ การจับปลา การเพาะปลูก เพื่อการบริโภคเอง ไม่ได้ผลิตเพื่อจำหน่าย ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เป็นลักษณะของชุมชนในอดีต หรือชนบทที่ห่างไกลความเจริญ 2.2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบการค้า หมายถึง สังคมที่สลับซับซ้อน เป็นลักษณะของประเทศส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งไทยในปัจจุบัน มนุษย์จะไม่ทำการผลิตสิ่งของที่ตนเองต้องการเองทุกอย่าง แต่จะแบ่งอาชีพกันทำตามความถนัด แล้วนำผลผลิตมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันโดยใช้เงินเป็นสื่อกลาง กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อการค้า เป็นการประกอบอาชีพเพื่อส่งออกจำหน่ายไปยังภูมิภาคต่างๆของโลก โดยอาศัยระบบการคมนาคมขนส่งให้สินค้าเข้าสู่ตลาดจะนำผลประโยชน์มาสู่สังคมที่เจริญ หรือระบบสังคมที่ซับซ้อน ตลอดจนทั้งเขตชุมชนและเมืองต่างๆทุกแห่งในโลกปัจจุบัน เศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค มีผลต่อการเขียนแผนธุรกิจ ซีเนี่ยร์ตอมเพล็กซ์ ไทยเพิ่มสุข ปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์แยกการศึกษาเศรษฐศาสตร์ออกเป็น 2 สาขาใหญ่ๆ คือ
ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ
ต้น
: บริหารธุรกิจเป็นวิชาที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐศาสตร์อยู่มาก ถึงแม้ว่าในภาคส่วนของบริหารธุรกิจจะมีเป้าหมายสูงสุดที่การผลิตเพื่อเสียต้นทุนต่ำที่สุดนำไปสู่การได้กำไรสูงสุด ซึ่งนักธุรกิจโดยส่วนใหญ่หากมีความเข้าใจในเศรษฐศาสตร์อย่างเป็นองค์รวมแล้วจะสามารถคาดการณ์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในอนาคตได้ว่าจะไปในทิศทางใด และนำไปสู่กำหนดเป้าหมายในการบริหารจัดการธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ส่วนในการกำหนดเป้าหมายนโยบายทางเศรษฐกิจย่อมมีผลเขื่อมโยงกับภาคส่วนของธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หากในส่วนของเมนูนโยบายทางเศรษฐกิจกับหน่วยธุรกิจมีการเชื่อมโยงสอดประสานเกื้อหนุนซึ่งกันและกันแล้ว ก็จะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อพึงสังเกต การบริหารเมนูนโยบายเศรษฐกิจและการบริหารธุรกิจ หลาย ๆ ท่านอาจคิดว่ามีความคล้ายและสามารถนำเอาหลักการการบริหารธุรกิจมาใช้กับการกำหนดและบริหารจัดการเมนูนโยบายทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตรรกะในการบริหารนโยบายทางเศรษฐกิจและการบริหารธุรกิจ ก็มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้เศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการเจริญเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้บรรลุถึงการอยู่ดีกินดีของประชาชนและการอยู่ดีกินดีของเจ้าของธุรกิจ แต่ในทางปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุซึ่งเป้าหมายดังกล่าวของการบริหารเมนูนโยบายทางเศรษฐกิจและการบริหารธุรกิจนั้น ปรัชญาในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมัก จะทำตรงกันข้าม กับการบริหารธุรกิจอย่างสิ้นเชิง
กรณีที่ ๑ ในภาวะเศรษฐกิจปกติ (เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง) พฤติกรรมส่วนใหญ่ของภาคเอกชนในภาวะเศรษฐกิจปกติ (เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง) เนื่องจากว่า เป็นภาวะที่ภาคเอกชนต้องการฉกฉวยโอกาสในผลประโยชน์จากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุซึ่งปรัชญากำไรสูงสุด โดยมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจ รวมทั้งมีการบริโภคเพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องคอยดูแลระบบเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรงเกินไป (overheating) โดยการดำเนินนโยบายผ่านกลไกทางด้านนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการเงินระหว่างประเทศ ในภาวะปกติการบริหารและจัดการนโยบายเศรษฐกิจ ผู้ที่มีอำนาจและหน้าที่ต้องตระหนักถึง พฤติกรรมของภาคเอกชน โดยส่วนใหญ่ก่อน เพราะภาครัฐมีหน้าที่หลักที่สำคัญในการที่จะบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ สังคมโดยส่วนรวมบรรลุถึงการเจริญเติบโตแบบยั่งยืน หรือการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพื่อลดทอนความเสี่ยงของการนำไปสู่ภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโตที่ไม่สมเหตุสมผลกับภาวะพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (การเจริญเติบโตที่เกิดจากภาวะฟองสบู่) รวมทั้งการเจริญเติบโตที่เพิ่มอัตราเร่งให้เกิดช่องว่างระหว่างรายได้ทางสังคมที่สูงขึ้น ดังนั้นภาครัฐต้องตระหนักและเข้าใจพฤติกรรมรากเหง้าทางสังคมเศรษฐกิจของภาคเอกชนโดยส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมก่อน เพื่อนำไปสู่การดำเนินเมนูนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อนำไปสู่จุดที่สังคมปรารถนาร่วมกัน คือ การเจริญเติบโตแบบยั่งยืน หรือการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ ในภาวะเศรษฐกิจปกติพฤติกรรมโดยส่วนใหญ่ในการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนจะขยายตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งภาวะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดีในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจาก GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ สิ่งที่ภาครัฐต้องต้องคำนึงถึงเป็นประเด็นสำคัญในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ก็คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวนั้น มีแนวโน้มนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ โดยภาคเอกชนจะเพิ่มการลงทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง กรณีที่ ๒ ภาวะเศรษฐกิจเจ็บป่วย : วิกฤติเศรษฐกิจ (เศรษฐกิจถดถอยและตกต่ำ) ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและตกต่ำนั้น พฤติกรรมโดยส่วนใหญ่ของภาคเอกชนจะลดการลงทุนและลดต้นทุนทุกอย่างที่สามารถจะลดได้เพื่อให้ธุรกิจของตนเองอยู่ได้ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ รวมทั้งภาคครัวเรือนก็จะลดการบริโภคลงมาด้วย ดังนั้น ภาครัฐต้องทำสิ่งดังกล่าวที่ขาดหายไปในระบบเศรษฐกิจแทนภาคเอกชนเพื่อที่จะทำให้เกิดการจ้างงาน โดยการดำเนินเมนูนโยบายที่เอื้อต่อการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านทางกลไกของนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินระหว่างประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาวะเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ การบริหารเมนูนโยบายเศรษฐกิจนั้นต้องมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสำคัญโดยการ เพิ่มปริมาณเงิน เข้าไปในระบบเศรษฐกิจก่อนโดยผ่านเครื่องมือและกลไกทางด้านนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินระหว่างประเทศ และโดยส่วนใหญ่ในภาวะวิกฤตินี้ เมนูนโยบายการคลังในภาคส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐ ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากก่อให้เกิดผลรวดเร็ว เปรียบเสมือนคนป่วยใกล้จะตาย หมอต้องเลือกช่วยชีวิตคนป่วยก่อนเป็นอันดับแรก เช่น การปั้มหัวใจ ซึ่งก็เปรียบเสมือนการเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากในภาวะดังกล่าว ภาคเอกชนจะลดการลงทุนและการบริโภค เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ภาครัฐจึงไม่ควรดำเนินเมนูนโยบายทางเศรษฐกิจอันก่อให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจ เฉกเช่นภาคเอกชน เพราะจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจหดตัวรุนแรงไปอีก ภาครัฐจึงควรดำเนินนโยบายที่ไปเอื้อต่อการเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจ
อาจกล่าวได้ว่าแนวความคิดในการบริหารเมนูนโยบายเศรษฐกิจกับการบริหารธุรกิจมักจะ “ทำตรงกันข้าม” เมื่อเผชิญกับภาวะต่าง ๆ ในเศรษฐกิจ
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น